ระหว่างการประท้วง ตำรวจฮ่องกงถูกกล่าวหาว่าประพฤติมิชอบ สภาคำร้องทุกข์ตำรวจอิสระ (IPCC) เริ่มการสอบสวนความประพฤติมิชอบของตำรวจในการประท้วง[71] แม้ผู้ประท้วงเรียกร้องให้มีคณะกรรมการสอบสวนที่เป็นอิสระแทน เพราะสมาชิก IPCC ส่วนใหญ่นิยมรัฐบาล[72] แคร์รี หลั่มปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้และอ้างว่าเธอจะไม่ "ทรยศ" ตำรวจ[71]

ตำรวจฮ่องกงถูกกล่าวหาว่าใช้กำลังเกินกว่าเหตุและไม่ได้สัดส่วน เช่น ใช้กระสุนยางอย่างเป็นอันตรายโดยเล็งในแนวตั้ง โดยมีเป้าที่ศีรษะหรือลำตัวของผู้ประท้วง[73] การใช้กระสุนถุงถั่วมีรายงานว่าทำให้ตาของผู้ประท้วงหญิงคนหนึ่งแตก[74] และการใช้กระสุนลูกพริกไทยในสถานีไท่กู๋มีอธิบายว่าเป็น "การยิงแบบประหารชีวิต"[75] ตำรวจยืนยันว่าการใช้กระสุนลูกพริกไทยเป็นไปตามมาตรฐานระหว่างประเทศและการบาดเจ็บของผู้ประท้วงหญิงมิได้เกิดจากตำรวจ การใช้แก๊สน้ำตาถูกวิจารณ์ว่าละเมิดแนวทางความปลอดภัยระหว่างประเทศ เพราะพบว่าตำรวจใช้เป็นอาวุธเพื่อโจมตี[76] ยิงเข้าไปในอาคาร[77] และใช้แก๊สน้ำตาหมดอายุซึ่งอาจปล่อยแก๊สพิษอย่างฟอสจีนและไซยาไนด์เมื่อสันดาป[78] การใช้ในพื้นที่อยู่อาศัยที่มีประชากรหนาแน่นยังทำให้เกิดเสียงวิจารณ์จากผู้ได้รับผลกระทบ[79] ผู้เห็นเหตุการณ์บางส่วนที่ติดอยู่ในการประท้วงถูกตำรวจทุบตีหรือเตะด้วย[80][81] และปฏิบัติการตำรวจหลายครั้ง ที่ STS ทำร้ายร่างกายผู้โดยสารบนรถไฟ ผู้ประท้วงและฝ่ายนิยมประชาธิปไตยมองว่าไม่คำนึงถึงความปลอดภัยสาธารณะ[82][83] วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ตำรวจยิงชายหนุ่มที่ถือท่อพีวีซีด้วยกระสุนจริงในระยะเกือบเผาขน[84] ผู้ประท้วงกล่าวหาตำรวจว่าพยายามฆ่าชายคนดังกล่าวเพราะยิงไปที่อกข้างซ้ายใกล้กับหัวใจ ฝ่ายตำรวจปฏิเสธข้อกล่าวหานี้โดยระบุว่าชีวิตของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวตกอยู่ในความเสี่ยง[85] ส่วนผู้ประท้วงเชื่อว่าการใช้กำลังของผู้ประท้วงไม่เป็นเหตุผลพอให้ต้องใช้กระสุนจริง[86]

การล้อมผู้ประท้วง[83] ปฏิบัติการในพื้นที่เอกชน[87] การวางกำลังเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ[88] การทำลายหลักฐานที่มีการตั้งข้อสงสัย[89][90] การปฏิเสธบริการปฐมพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บ[82] และวิธีการแสดงสัญญาณเตือนของตำรวจ[91] ล้วนเป็นที่ถกเถียงเช่นกัน เมื่อเจ้าหน้าที่บางคนไม่สวมเครื่องแบบที่มีเลขระบุหรือไม่แสดงหมาย[92][93] ทำให้พลเมืองยื่นคำร้องทุกข์ได้ยาก ตำรวจยังถูกกล่าวหาว่าใช้กำลังเกินกว่าเหตุต่อผู้ถูกจับแล้ว[94][95] และถูกวิจารณ์ว่าใช้ผู้ถูกจับคนหนึ่งเป็นโล่มนุษย์ด้วย[96] องค์การนิรโทษกรรมสากลแถลงว่าตำรวจใช้ "กำลังแก้แค้น" ต่อผู้ประท้วงและทำรุณและทรมานผู้ถูกกักขังบางส่วน[97][98] นอกจากนี้ ยังถูกกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงทางเพศต่อผู้ประท้วงหญิง[99] ผู้ถูกกักขังบางส่วนรายงานว่าตำรวจปฏิเสธไม่ให้ติดต่อทนายความด้วย[100]

มีการกล่าวหาตำรวจว่าแทรกแซงเสรีภาพสื่อและทำให้นักหนังสือพิมพ์ได้รับบาดเจ็บระหว่างการประท้วงหลายโอกาส ทำให้ตาขวาของนักหนังสือพิมพ์ชาวอินโดนีเซียรายหนึ่งบอดถาวร[101][102][103] ยังมีการกล่าวหาตำรวจแพร่บรรยากาศแห่งความกลัวด้วยการจับกุมในโรงพยาบาล[104] จับกุมบุคคลตามอำเภอใจ[105] และจับกุมนักเคลื่อนไหวและผู้ออกกฎหมายที่มีชื่อเสียงหลายคน[106] มองว่าการเพิกเฉยระหว่างการบุกอาคารสภานิติบัญญัติเป็นยุทธวิธีแบ่งแยก[107] การตอบสนองช้าต่อเหตุโจมตีที่หยุนหลองและนอร์ทพอยต์ก่อให้เกิดการกล่าวหาตำรวจว่าสมคบคิดสมาชิกอั้งยี่ ทนายความบางส่วนชี้ว่าการที่ตำรวจปฏิเสธช่วยผู้เสียหายโดยปิดประตูสถานีตำรวจในละแวกระหว่างการโจมตีที่หยุนหลองอาจเป็นความผิดฐานประพฤติมิชอบในสำนักงานราชการ[108][109] ตำรวจยังถูกกล่าวหาว่าใช้ "สองมาตรฐาน" โดยผ่อนปรนต่อผู้ประท้วงตอบโต้ที่ใช้ความรุนแรง[110] ตำรวจปฏิเสธข้อกล่าวหาข้างต้นทั้งหมด

มีการวิจารณ์ความประพฤติส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่บางนาย เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบบางส่วนใช้ภาษาหยาบคายเพื่อรังควานหรือทำให้ผู้ประท้วงและนักหนังสือพิมพ์อับอาย[111] มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่บางนายว่ายั่วยุผู้ประท้วง[112] และยิ้มขณะใช้กำลัง[113] สมาคมเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยยังใช้คำว่า "แมลงสาบ" กับผู้ประท้วงกลุ่มหัวรุนแรง[114] เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเรียกชายที่สวมเสื่อกั๊กสีเหลืองที่กำลังถูกเจ้าหน้าที่นายหนึ่งเตะว่า "วัตถุสีเหลือง" ทำให้ถูกวิจารณ์เป็นวงกว้าง[115]